วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

“ชาวพุทธต้องสามัคคีกัน”

ความสามัคคี นำไปสู่ความเจริญ ความสงบสุขร่มเย็นของสังคม
ความขัดแย้งแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ นำไปสู่ความเสื่อม

มูลเหตุหลักของความแตกแยกมุ่งโจมตีกันมาจากเรื่องคำสอน
คำสอนในพระพุทธศาสนา แบ่งได้ 3 ระดับ คือ
                                1. คำสอนเพื่อประโยชน์ชาตินี้ เช่น ให้มีน้าใจต่อกัน รักษาศีล ละเว้นอบายมุข
            คำสอนในระดับนี้ โดยภาพรวมชาวพุทธทุกกลุ่มสอนสอดคล้องกัน
2. คำสอนเพื่อประโยชน์ชาติหน้า เช่น เรื่องนรก สวรรค์ บุญบาป
            คำสอนในระดับที่ 2 นี้ ส่วนใหญ่สอนตรงกัน มีบ้างที่สอนต่าง
 เช่น ท่านพุทธทาสปฏิเสธนรกสวรรค์ที่เป็นภพภูมิ
          3. คำสอนเพื่อประโยชน์อย่างยิ่ง คือ การปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความหลุดพ้น

คำสอนในระดับนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียด รู้ได้เฉพาะตน ชาวพุทธกลุ่มต่างๆ
จึงมีหลักปฏิบัติที่หลากหลาย อาทิ สายพุทโธ สายสัมมาอะระหัง สายพองหนอยุบหนอ 
สายมโนมยิทธิ ไม่ต้องกลัวว่าคำสอนของสายใดจะผิด 
จะทำให้พระธรรมวินัยวิปริตผิดเพี้ยน เพราะพระธรรมวินัยสรุปรวมอยู่ในพระไตรปิฎก 
ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขเนื้อหาพระไตรปิฎกได้ 
เพราะถ้าไปแก้เนื้อหาตอนใดตอนหนึ่ง 
เพียงเอาไปเทียบกับเนื้อหาของพระไตรปิฎกที่มีการพิมพ์เผยแพร่ไปในประเทศต่างๆ 
แล้วนับล้านๆชุด ก็จะรู้ได้ทันที จะเกิดปฏิกิริยาต่างๆมากมายในวงกว้าง 
ไม่ได้รับการยอมรับ ผู้ทำก็มีแต่จะเสื่อมเสียไปเอง
ดังนั้นไม่มีใครทำให้พระธรรมวินัยผิดเพี้ยนไปได้ 
และไม่ต้องตื่นกลัวว่าถ้าคำสอนของสายใดที่ตนเห็นว่าไม่ถูก 
ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก ก็จะทาให้พระธรรมวินัยวิปริตผิดเพี้ยนไปอีก
เพราะตราบใดยังมีพระไตรปิฎกอยู่ เราก็ยังมีแม่แบบให้อ้างอิงศึกษาไปชั่วกาลนาน 
ไม่มีใครที่จะทำให้คนอื่นเชื่อตามไปได้ทั้งหมด ไม่ว่าผู้นั้นจะมีอิทธิพลมากเพียงใด

แม้ผู้มีอิทธิพลสูงสุดในพุทธเถรวาทในรอบ 2,000 ปีที่ผ่านมา คือ พระพุทธโฆษาจารย์ พระภิกษุชาวอินเดียในราว พ.ศ. 900 เศษได้เดินทางไปเกาะลังกาและเป็นผู้เรียบเรียง
และแปลคัมภีร์อรรถกถา (คัมภีร์ที่ใช้อ้างอิงในการอธิบายขยายความพระไตรปิฎก) 
เกือบทั้งหมดจากภาษาสิงหลเป็นภาษาบาลี การทำความเข้าใจพระไตรปิฎกของชาวพุทธในปัจจุบัน 
จึงได้รับอิทธิพลจากพระพุทธโฆษาจารย์อย่างมาก แต่เราก็ไม่จาเป็นต้องเห็นด้วยกับท่านในทุกประเด็น เพราะเราสามารถศึกษาจากพระไตรปิฎกโดยตรงได้ ดังเช่นที่ท่านพุทธทาสก็ไม่เห็นด้วยกับพระพุทธโฆษาจารย์ในหลายประเด็น
 อาทิ หลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์อธิบายไว้ในอธิบายไว้ในคัมภีร์อรรถกถา
ว่า เป็นปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ ผ่านการเวียนว่ายตายเกิด
 แต่ท่านพุทธทาสปฏิเสธไม่เห็นด้วย บอกว่าเป็นปฏิจจสมุปบาทแบบวงจรในชาตินี้
หรือแม้ตัวท่านพุทธทาสเอง ซึ่งมีชื่อเสียงมาก มีลูกศิษย์ลูกหามากมายจะปฏิเสธเนื้อหาพระไตรปิฎกส่วนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ นรกสวรรค์ เทวดานางฟ้า ยักษ์ บอกตัดทิ้งได้ 60% 
แต่จริงๆ ท่านก็ไม่ได้ตัดทิ้ง พระไตรปิฎกก็ยังอยู่เหมือนเดิม
 และก็ไม่มีทางที่ทุกคนจะไปเชื่อตามท่านหมด 
ไม่ว่าท่านพุทธทาสจะมีอิทธิพลมากเพียงใด มีศิษยานุศิษย์มากเพียงไหน 
ก็ไม่มีทางไปตัดพระไตรปิฎกทั้ง 60% ตามใจชอบได้จริงๆ

“ พลังสร้างสรรค์ทาให้เจริญ พลังทำลายทำให้เสื่อม ”

ชาวพุทธที่ตื่นตัว ซึ่งมีอยู่ไม่มากเลย ควรจะใช้พลังของตนในทางสร้างสรรค์ 
โดยชักชวนประชาชนมาปฏิบัติในแบบที่ตนชอบให้ได้มากที่สุด
 ถ้าทุกคนทำอย่างนี้จะส่งผลเป็นความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา
- จะชอบศึกษาพุทธเชิงวิชาการ
     - จะชอบพุทธแบบสังคมสงเคราะห์
 - จะชอบพุทธเชิงศิลปวัฒนธรรม
                                          - จะชอบปฏิบัติแบบพุทโธ สัมมาอะระหัง พองหนอยุบหนอ
ทุกแบบดีทั้งนั้น เพราะคนเรามีจริตอัธยาศัยต่างกัน ใครชอบปฏิบัติแบบไหนก็ไปสายนั้น
อย่าหลงประเด็นมาทะเลาะกันเอง เพราะข้าศึกจริงๆ คือ อบายมุข 
ที่กำลังรุกคืบกลืนกินสังคมไทยไปทุกขณะ สุรายาเสพติดจะท่วมเมืองอยู่แล้ว
 ศาสนิกอื่นก็กำลังทำงานขยายศาสนิกของตนอย่างเต็มกาลัง
ชาวพุทธที่ตื่นตัวที่มีจานวนน้อยอยู่แล้ว ไม่ควรใช้พลังของตนไปในทางทำลาย
 มุ่งโจมตีบั่นทอนกาลังกันเอง จนสังคมเอือมระอาว่า
 ชาวพุทธมีแต่ทะเลาะกัน ทำให้มีผู้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 
จนพระพุทธศาสนาอาจสาบสูญไปจากประเทศไทย
 เมื่อถึงตอนนั้นจะมีประโยชน์อะไรกับการย้าคิด ย้าพูด ย้าทำว่า

“ ฉันถูกๆๆๆๆ เธอผิดๆๆๆๆ ”

ขอให้ระลึกถึงพุทธโอวาทที่ว่า

“ สุขา สงฺฆสฺส สามัคคี
ความสามัคคีของหมู่คณะ ทาให้เกิดสุข ”

“ยังเข้าไม่ถึงแล้วมาทะเลาะกัน ก็เป็นเหมือนตาบอดคลาช้าง”
ลองคิดดูว่า ถ้าชาวพุทธที่ตื่นตัวมุ่งโจมตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดังเช่นที่เคยปรากฏ

-โจมตีท่านพุทธทาสที่ปฏิเสธนรกสวรรค์ ให้ฉีกพระไตรปิฎกทิ้ง 60%

      -โจมตีพระป่าสายหลวงตามหาบัวที่บอกว่าพระอาจารย์มั่นมีพระพุทธเจ้า
และพระอรหันต์มาเยี่ยม แสดงว่านิพพานแล้วยังมีตัวตนอยู่

 -โจมตีหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่สอนว่า ถอดกายไปสู่แดนนิพพาน 
พบว่ามีสระ มีวิหาร มีหอระฆัง แสดงว่านิพพานเป็นภพภูมิ

-โจมตีสายธรรมกายที่ไปบูชาข้าวพระพุทธเจ้า แสดงว่านิพพานเป็นภพภูมิ

-โจมตีสายพองหนอยุบหนอว่าสอนแบบท่องจาตามตารา 
ไม่ได้เข้าถึงจริง เป็นลูกศิษย์พระพม่า ดูถูกสายธรรมปฏิบัติของไทย

-โจมตีคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ที่รับเงินทอง
ที่ญาติโยมถวายว่าผิดพระวินัย นิสสัคคิยปาจิตตีย์

-โจมตีชาวพุทธที่เชื่อว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” ว่าเพี้ยน
 ปฏิเสธสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ต้องขจัดให้หมดไป

สวรรค์มีจริงไหม นิพพานมีภาวะเป็นอย่างไร ตั้งใจเจริญมรรคมีองค์ 8
เข้าถึงแล้วก็รู้เอง ยังเข้าไม่ถึงมานั่งทะเลาะกันก็เป็นเหมือนตาบอดคลำช้าง
ถ้าชาวพุทธที่เป็นลูกศิษย์ของสายต่างๆ มุ่งแต่โจมตีกัน 
เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองยึดถือว่าถูกต้อง สายที่ต่างผิด

อะไรจะเกิดขึ้น ? พระพุทธศาสนามีแต่จะแตกแยก 
จนมีโอกาสเสื่อมสูญไปจากประเทศไทย การโจมตีกันและกันนั้น
 ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญของพระพุทธศาสนาเลย 
มีแต่ทำให้เกิดความแตกแยก ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม
ผู้กระทำนอกจากไม่ได้บุญแล้ว ยังแบกบาปมหันต์
 เพราะการสร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ก็คือ การทำสังฆเภท
 เป็นอนันตริยกรรม ซึ่งเป็นกรรมหนักที่สุด ปิดสวรรค์ ปิดนิพพาน 
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่กระทำกรรมนี้ ตายแล้วเที่ยงแท้ที่จะลงอเวจีมหานรก